เภสัชกรยุคใหม่ต้องรอด! 5 ทักษะที่จะพาไปได้ไกลในปี 2025

ในวันที่โลกสุขภาพหมุนเร็ว เภสัชกรไม่ได้แค่จ่ายยา แต่ต้องเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพ ทำงานร่วมกับทีมแพทย์ พยาบาล และใช้เทคโนโลยีอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางความท้าทายจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่พุ่งสูง สังคมผู้สูงอายุที่ขยายตัว การแข่งขันในตลาดยา และความคาดหวังของผู้ป่วยที่มากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยยังขาดแคลนเภสัชกรอีกนับหมื่นคน ทำให้เภสัชกรที่ปรับตัวเก่ง มีทักษะรอบด้าน กลายเป็นที่ต้องการอย่างสูง การอัปสกิลให้พร้อมสำหรับปี 2025 จึงไม่ใช่แค่เรื่องเลือกทำ แต่คือกุญแจสำคัญที่จะพา “อยู่รอด” และ “เติบโต” ในวิชาชีพนี้ได้อย่างมั่นคง

และนี่คือ 5 ทักษะสำคัญ ที่จะพาคุณไปได้ไกลในปี 2025

1. เก่งดิจิทัล ใช้ AI ให้เป็น (Digital Savviness & AI Application)
เภสัชกรยุคใหม่ต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยีและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น AI, Big Data, Telepharmacy และระบบจัดการข้อมูลสุขภาพ (Health Informatics) ทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพื่อให้บริการผู้ป่วยได้แม่นยำและสะดวกขึ้น เช่น การใช้ AI ตรวจสอบการแพ้ยา การให้คำปรึกษาทางไกล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วย ทั้งนี้ต้องควบคู่กับความเข้าใจในกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลด้วย การอัปสกิลสามารถทำได้ผ่านการอบรมหรือการติดตามข่าวสารเทคโนโลยีอยู่เสมอ

2. ความรู้คลินิกต้องแน่น พร้อมเข้าใจการแพทย์เฉพาะบุคคล (Advanced Clinical Expertise & Personalized Medicine)
บทบาทของเภสัชกรในงานคลินิกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้สูงอายุที่มียาหลายตัว การวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างแม่นยำเป็นสิ่งจำเป็น อีกเทรนด์สำคัญคือ “การแพทย์เฉพาะบุคคล” ที่เน้นการเลือกใช้ยาตามลักษณะเฉพาะของผู้ป่วย เช่น พันธุกรรม ซึ่งเภสัชกรมีบทบาทในการแปลผลและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ความรู้ด้านโรคเฉพาะทางและแนวทางรักษาใหม่ ๆ จึงควรถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

3. สื่อสารเข้าใจคน สร้างความไว้ใจ (Empathetic Communication & Patient Engagement)
การสื่อสารที่ดีคือหัวใจของการให้บริการเภสัชกรรม ไม่ใช่แค่การบอกข้อมูล แต่ต้องทำให้ผู้ป่วยเข้าใจและเชื่อมั่น พร้อมร่วมมือในการดูแลสุขภาพ การพูดคุยด้วยความเข้าใจ ใส่ใจ และใช้ภาษาที่เข้าถึงง่าย ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเพิ่มโอกาสที่ผู้ป่วยจะปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การสื่อสารกับทีมแพทย์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ทักษะ Health Coaching จึงเป็นอีกแนวทางที่เภสัชกรควรเรียนรู้

4. ยืดหยุ่น ปรับตัวไว เรียนรู้ตลอดชีวิต (Resilience, Adaptability & Lifelong Learning)
การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของโลกสุขภาพทำให้เภสัชกรต้องปรับตัวอยู่เสมอ ต้องพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ คิดวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทัศนคติแบบ Growth Mindset จะช่วยให้มองทุกปัญหาเป็นโอกาสพัฒนาตนเอง และมีความยืดหยุ่นในการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ท้าทาย

5. เข้าใจธุรกิจ บริหารจัดการได้ (Business Acumen & Management Skills)
เภสัชกรที่เข้าใจภาพรวมของธุรกิจสุขภาพจะสามารถขับเคลื่อนองค์กรหรือร้านยาให้เติบโตได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารคลังยา การวางแผนการเงิน การตลาดออนไลน์ หรือการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค ทักษะการบริหารยังรวมถึงภาวะผู้นำ การคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้ป่วยและตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ทักษะทั้ง 5 อย่างนี้ ส่งเสริมกันอย่างเป็นระบบ เช่น เมื่อเรามีทักษะด้านดิจิทัล ก็สามารถนำมาเสริมการดูแลผู้ป่วยเชิงคลินิกได้อย่างแม่นยำขึ้น ทั้งในการวิเคราะห์ข้อมูลหรือให้คำปรึกษาทางไกล และยังช่วยให้สื่อสารกับผู้ป่วยผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย การเรียนรู้ตลอดชีวิตคือฐานสำคัญที่ทำให้เราพัฒนาทักษะอื่นๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทักษะบริหารจะช่วยเปลี่ยนความรู้เชิงวิชาการและเทคโนโลยีให้กลายเป็นบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและยั่งยืน

ตัวอย่างงาน

หากเราพร้อมเปิดใจ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อสร้างเสริมทักษะเหล่านี้ ไม่ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาล ร้านยา องค์กรธุรกิจ วิจัย หรือสถาบันการศึกษา  ก็ไม่เพียงแค่ “อยู่รอด” แต่ยัง “เติบโต” และ “ไปได้ไกลกว่าที่คิด” ในปี 2025 และอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน